4 เมษายน – งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Columbia และมหาวิทยาลัย Cornell ตีพิมพ์งานวิจัยใหม่ในวารสาร Ecological Economics เกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของการปลูกกาแฟใต้ร่ม (Shade-Grown) และการปลูกกลางแจ้ง
กาแฟที่ปลูกกลางแจ้งกับใต้ร่มเงา (Shade-Grown)
สวนกาแฟที่ปลูกกลางแจ้งให้ผลผลิตเยอะกว่ากาแฟที่ปลูกในร่มชัดเจน ทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น แต่มีข้อเสียที่สำคัญเช่น การสูญเสียหน้าดิน และการทำลายป่าทำให้เกษตรกรมีต้นทุนที่สูงกว่าในการดูแลสวนกาแฟที่ปลูกกลางแจ้ง
สวนกาแฟที่ปลูกใต้ร่มเงาแม้ว่าจะมีผลผลิตที่ต่ำกว่า แต่ก็ปริมาณต้นทุนในการดำเนินการที่ต่ำกว่า
เนื้อหางานวิจัย
Juan Nicolás Hernandez-Aguilera หนึ่งในทีมวิจัยนำข้อดีและข้อเสียระหว่างการปลูกกาแฟกลางแจ้งและในร่มมาเปรียบเทียบใน 3 ประเด็นสำคัญดังนี้
- ผลผลิตและค่าใช้จ่าย
- ราคากาแฟที่สูงขึ้นจากคุณภาพที่เพิ่มขึ้นโดยการปลูกใต้ร่ม
- นกอาจจะมีส่วนช่วยในการลดศัตรูพืช
สำหรับงานวิจัยนี้ใช้โมเดล dynamic optimization สำหรับคำนวณความเป็นไปได้ที่เกษตรกรขนาดเล็กจะเปลี่ยนจากการปลูกกาแฟกลางแจ้งเป็นภายใต้ร่มเงา
ผลการวิจัยพบว่าสำหรับเกษตรกรขนาดเล็กหรือมีพื้นที่ประมาณ 5 เฮกตาร์เมื่อเปลี่ยนพื้นที่ปลูกประมาณ 36% มาเป็นกาแฟที่ปลูกใต้ร่มเงาจะช่วยให้มีรายได้ดีขึ้น
รายได้ที่ดีขึ้นเนื่องมาจาก
- ต้นทุนที่ถูกลงเนื่องจากนกสามารถช่วยลดศัตรูพืชลง
- ราคาที่ได้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับกาแฟที่ปลูกกลางแจ้ง
- ปริมาณต้นไม้ที่เพิ่มขึ้น
- ปริมาณกาแฟที่ได้มีคุณภาพดีขึ้น
สรุป
การปลูกกาแฟแบบผสมผสานทั้งใต้ร่มเงา หรือกลางแจ้งในปริมาณที่เหมาะสมมีส่วนช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และสามารถปรับลักษณะสวนกาแฟเป็นแบบใต้ร่มเงาได้มากขึ้นถ้าสามารถขายกาแฟที่ปลูกในร่มได้ราคาที่สูงกว่าปลูกกลางแจ้ง
นับว่าเป็นงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าทั้งสวนกาแฟที่ปลูกกลางแจ้งหรือใต้ร่มเงา ต่างมีข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นการถกเถียงว่าการปลูกแบบไหนให้ผลดีที่สุด ไม่ควรจะเป็นประเด็นอีกต่อไป แต่การใช้ประโยชน์ลักษณะของทั้งสองแบบให้ดีที่สุดควรจะเป็นสิ่งที่ควรถูกนำมาพูดคุยในอนาคต
Reference